หน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff )

หน้าผาทางการคลัง(Fiscal Cliff ) คืออะไร

 
 ในช่วงปีที่ผ่านมา มีคำศัพท์ หรือตัวย่อทางด้านเศรษฐกิจถูกกล่าวขึ้นมาพูดถึงเพิ่มขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น QE (Quantitative Easing - การผ่อนคลายมาตรการทางการเงิน) LTRO (Long Term Refinance Operations - การปล่อยกู้ระยะยาวแก่ธนาคาร ในสหภาพยุโรปเพื่อเสริมสภาพคล่อง) Troika (กลุ่มผู้ดูแลการแก้ไขปัญหาหนี้ของกรีซ ประกอบด้วยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ - IMF, ธนาคารกลางยุโรป – ECB และคณะกรรมาธิการยุโรป - EC) เป็นต้น และคำศัพท์คำหนึ่งที่มีการพูดถึงกันบ่อยมากขึ้น ในช่วงไม่นานมานี้ คือคำว่า Fiscal Cliff

 คำว่า Fiscal Cliff หรือแปลเป็นไทยตรงตัวว่า “หน้าผาทางการคลัง” เป็นคำที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เบน เบอร์นันเก้ ใช้เรียกสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อของเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่จะมีเหตุการณ์สำคัญๆที่เกี่ยวข้องกับฐานะ ทางการคลังของสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯอย่างมีนัยสำคัญ โดยเหตุการณ์ที่สำคัญ 2 เหตุการณ์ได้แก่ การสิ้นสุดของมาตรการลดหย่อนภาษีหลายๆมาตรการ และการเริ่มต้นของมาตรการการปรับลดงบประมาณของ ภาครัฐฯ

    ในส่วนของมาตรการลดหย่อนภาษีนั้น ในสิ้นปีนี้ จะมีมาตรการลดหย่อนภาษีหลายมาตรการสิ้นอายุลง โดยมาตรการภาษีที่สำคัญ ที่สุด คือมาตรการการปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งได้บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2546 ในสมัยประธานาธิบดีจอร์ช บุช เพื่อปรับลด อัตราภาษีที่บุคคลธรรมดาจะต้องเสียลง ทำให้ประชาชนมีรายได้คงเหลือเพิ่มขึ้น และช่วยให้เกิดการใช้จ่าย และการบริโภค ในประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น


     นอกเหนือจากมาตรการภาษีแล้ว ยังมีมาตรการทางด้านการปรับลดงบประมาณรายจ่าย หรือการขาดดุลของภาครัฐบาลอีกด้วย เนื่องจากในปีที่ผ่านมา สหรัฐฯประสบกับปัญหาภาระหนี้ชนเพดานหนี้ (วงเงินสูงสุดที่รัฐบาลจะกู้ได้) ทำให้ต้องมีการปรับเพิ่มเพดานหนี้ สาธารณะเพิ่มเติม โดยเงื่อนไขหนึ่งที่ต้องทำเพื่อการปรับเพิ่มเพดานดังกล่าว รัฐบาลสหรัฐฯจะต้องมีการดำเนินการปรับลดรายจ่าย ของภาครัฐลงมาด้วย และหากไม่สามารถทำได้ตามเป้าที่กำหนดไว้ ก็จะมีการปรับลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐแบบอัตโนมัติ (Sequestration) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 มกราคม 2556 นี้

     ผลจากมาตรการ 2 มาตรการ ทั้งการสิ้นสุดการปรับลดภาษี ประกอบกับการตัดลดงบประมาณด้านรายจ่ายของภาครัฐฯ แม้ว่าจะทำ ให้รายได้ของรัฐบาลปรับเพิ่มขึ้นกว่า 6 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ แต่ก็จะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังคงอยู่ใน ภาวะเปราะบางเป็นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะในส่วนของมาตรการภาษี หากสิ้นสุดลง ก็จะทำให้ประชาชนต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น และ มีเงินคงเหลือเพื่อใช้จ่ายน้อยลง ในขณะมาตรการด้านงบประมาณที่จะต้องปรับลดลงมา ก็จะทำให้รัฐบาลนำเงินออกมาใช้จ่ายเพื่อ กระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลง ซึ่งหากไม่มีการดำเนินการเพื่อแก้ไขเหตุการณ์ทั้งสองอย่างนี้เลย ก็มีสิทธิที่เศรษฐกิจจะหยุดชะงัก หรือ หดตัวลงรุนแรง หรือเปรียบเสมือนกับการตกหน้าผานั่นเอง

     ทั้งนี้ ได้คาดการณ์กันว่า หากเกิด Fiscal Cliff ขึ้นมาเต็มจำนวนทั้ง 6 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ จะทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ของสหรัฐฯในปีหน้า หดตัวลงถึง 1.00% และจะทำให้อัตราการว่างงานปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสู่ระดับ 10% จากระดับปัจจุบันที่ 8.30% แต่หากปัญหา Fiscal Cliff ไม่ได้เกิดขึ้นเต็มจำนวนอย่างที่คาดไว้ ความรุนแรงก็จะลดน้อยลงมาตามลำดับ แต่ก็จะมีผลกระทบ ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจแน่นอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้





ตารางแสดงสมมติฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯจากผลกระทบของ Fiscal Cliff

  (ที่มา: Royal Bank of Scotland)



    คำถามที่เกิดขึ้นคือ รัฐบาลสหรัฐฯได้รับรู้ปัญหาดังกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่จะมีการดำเนินอย่างไร เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจของประเทศ ต้องมาตกหน้าผาอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งยังไม่มีคำตอบออกมาที่ชัดเจน ในขณะที่สถานการณ์ดังกล่าวใกล้เข้ามาถึงแล้ว เนื่องจากในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ทำให้ทั้งฝ่ายประธานาธิบดีปัจจุบัน บารัค โอบามา จากพรรคเดโมแครท และฝ่ายผู้ท้าชิง มิทท์ รอมนีย์จากพรรครีพับลิกัน ต่างก็คุมเชิงกันทางด้านนโยบาย ยังไม่ได้มี การออกมาตรการ หรือนโยบายใดๆที่เป็นรูปธรรม เช่น จะมีการต่ออายุมาตรการการลดหย่อนภาษีหรือไม่ หรือการปรับลดมาตรการ การใช้จ่ายของภาครัฐ จะดำเนินไปในด้านใด เพราะอาจจะส่งผลต่อคะแนนความนิยมในการเลือกตั้งได้ ทำให้เกิดความเสี่ยง ทางด้านนโยบายทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจในอนาคต นอกจากนี้ นโยบายของ ผู้สมัครชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็มีความแตกต่างกันด้วย โดยในส่วนของประธานาธิบดีโอบามา ยังคงสนับสนุนการต่อ อายุมาตรการลดหย่อนภาษีเฉพาะผู้มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง ในขณะที่ทางผู้ท้าชิง ก็ยังชูนโยบายการปรับลดงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งทำให้อนาคตเศรษฐกิจของสหรัฐฯยังคงมีความไม่แน่นอนทางนโยบายอยู่สูง

   อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์ล่าสุดในเรื่องของทางด้านมาตรการภาษี ทางสภาผู้แทนราษฎร(สภาล่าง) ได้มีมาตรการอนุมัติต่ออายุ การลดหย่อนภาษีสำหรับผู้มีรายได้ต่ำกว่า 250,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในระหว่างการส่งต่อให้กับสภาสูง (สภาคองเกรส) ทำการอนุมัติ เพื่อประกาศใช้ต่อไป จึงทำให้ความเสี่ยง และความกังวลในเรื่องของ Fiscal Cliff เริ่มคลี่คลายลงไป บ้าง แต่ก็ยังไม่หมดสิ้นไปเสียทีเดียว นอกจากนี้ นักวิเคราะห์จากสำนักต่างๆ ต่างก็ได้คาดการณ์ว่าในท้ายที่สุด รัฐบาลสหรัฐฯ ก็คงจะต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เกิดภาวะการตกหน้าผาทางเศรษฐกิจ เพราะจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างมหาศาล และ อาจจะเป็นการจุดชนวนเศรษฐกิจโลกรอบใหม่ต่อจากปัญหาหนี้ในยุโรป แต่เนื่องจากยังคงอยู่ในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้ง และ เป็นช่วงที่จะมีการช่วงชิงคะแนนเสียงระหว่างสองพรรครัฐบาล จึงเชื่อได้ว่ามาตรการใดๆที่จะดำเนินออกมาในช่วงนี้ แม้ว่าท้ายที่สุด แล้วจะผ่านไปได้ แต่ก็จะผ่านได้แบบหวุดหวิด หรือในนาทีสุดท้าย เช่นเดียวกับในครั้งที่มีการปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะในปี ที่ผ่านมา ซึ่งมีการดึงเวลาให้ล่าช้า เป็นเกมทางการเมืองไปนานกว่าจะอนุมัติให้ผ่านกันไปได้ และจะทำให้ความผันผวนใน การลงทุนกลับมาอีกครั้ง

ดังนั้น ในช่วงนี้จนถึงปลายปี กว่าที่จะมีความชัดเจนทางมาตรการด้านการคลังของสหรัฐฯ นักลงทุน อาจจะต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มเติม เนื่องจากจะมีความผันผวนมากขึ้นตามข่าวสาร ที่จะมีการพูดถึง Fiscal Cliff มากขึ้นเรื่อยๆ
 - การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน
 - ทัศนะและความคิดเห็นใดๆที่ปรากฏในบทความนี้ เป็นการแสดงทัศนะความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น มิได้มาจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบ ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น
 - ข้อมูล ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2555 โดย อาทิตย์ ทองเจริญ ผู้บริหารงานจัดหาผลิตภัณฑ์พิเศษ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด


ข้อมูลจาก  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด 

No comments:

Post a Comment