Subprime
- SET หล่นจากจุดสูงสุด 886.57 ลงมาต่ำสุดที่ 380.05 จุด หรือลบกว่า 57% ในระยะเวลา 28 สัปดาห์ หรือกว่าครึ่งปีที่หุ้นตกจนชิน.. แต่กว่าทุกคนจะรู้ว่าเกิดวิกฤติ ก็ตอนช่วงเดือน กย 2009 (ธนาคารเลแมน บราเดอร์ส ประกาศล้มละลาย) ช่วงนั้น SET อยู่ที่ประมาณ 660 จุด ก็คือหล่นมาแล้วประมาณ 25%
น้ำท่วม + กรีซ - SET หล่นจากจุดสูงสุด 1,148.28 ลงมาต่ำสุดที่ 843.69 จุด หรือลบประมาณ 26.5% ซึ่งดูแล้วเบามากๆ เมื่อเทียบกับวิกฤติ Subprime เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นทั่วโลกพอดี ซึ่งวิกฤตินี้ หุ้นส่วนใหญ่ฟื้นกลับ และทำนิวไฮไปอีกไกล แต่หุ้นบางตัวก็ยังไม่ฟื้นจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบัน ครึ่งปีหลัง 2013 (นับจากปลายเดือนพค. 2013 ถึงสิ้นเดือนสค. 2013)
- SET หล่นจากจุดสูงสุด 1,649.77 ลงมาต่ำสุดที่ 1,260.08 จุด (ต่ำสุดรึยัง ยังไม่รู้) หรือปรับตัวลดลงกว่า 23% ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน.. ซึ่งจุดนี้ ทุกคนเริ่มกลัว เริ่มกล้า อารมณ์แปรปรวนกันรายวัน เนื่องจากช่วง 3 เดือนนี้ หุ้นตกเร็ว และแรงที่สุด นับตั้งแต่หลังวิกฤติน้ำท่วมมา จะหล่นไปสุดเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ ทุกคนเริ่มหาเหตุผลสนับสนุนความคิดของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นงบการเงิน หรือประเด็นเงิน 2.2ล้านล้านบาท แต่ก็มีไปพะวงกับเหตุการภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นซีเรีย อียิปต์ หรือการลดขนาดคิวอี
ที่ผมยกตัวอย่างกราฟ SET index มาให้ดู คือให้ดูระดับ Week ซึ่งไม่ค่อยจะพลาดนัก จะเห็นว่า ภาวะหุ้นตก มันมักจะตกมาชนแนวรับใหญ่เสมอ.. ใครถือเงินสด ถ้าทนได้ ทนรอแนวรับแถวๆ 1,150 +/- ถึงตรงนั้นค่อยว่ากันอีกที.. แต่ถ้าทนไม่ได้ คันมือ หรือหุ้นเต็มพอร์ท กลัวเด้งก่อน ก็ซื้อไปเถอะครับ.. เงินของท่าน ท่านควรตัดสินใจเอง..
ภาวะขาลง คนติดดอย มักจะอยากได้เงินคืน พอถึงจุดนึง มักจะขายหุ้นทิ้งโดยมีเหตุผลคำเดียว คือ.. "ช่างแม่ง.." ถ้ารอได้ รอ "ช่างแม่ง.." เต็มตลาด จุดนั้นจะน่าซื้อที่สุด และกราฟจะเน่าที่สุด มาพร้อมกับข่าวร้ายสุดๆ ครับ..
แต่ว่า ในภาวะอย่างนี้ หุ้นหลายๆ ตัวกลับไม่ได้ปรับตัวหล่นตามดัชนีตลาดก็มี หรือถ้าหล่น ก็จะหล่นน้อยมากๆ ถ้าเทียบกับทั้งตลาด หุ้นพวกนี้จะน่าซื้อมากๆ เพราะเวลาขึ้น มันมักจะขึ้นก่อน ขึ้นเร็ว และขึ้นแรงที่สุด..
ช่วงนี้ ใครว่าง ก็ศึกษาหาหุ้น ดูให้ละเอียด ไม่ใช่แค่เปิดกราฟนั่งหาวไปวันๆ แล้วบอกว่า "กูดูดีแล้ว" ผมว่าควรหาความรู้เติมใส่สมองน่าจะดีกว่า.. พื้นฐาน งบการเงิน และการวิเคราะห์แนวโน้มของธุรกิจว่าจะโตได้อย่างไร สำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่ดูงบไตรมาสเดียว เอามาคูณสี่ คูณค่า P/E ที่มั่วๆ ขึ้นมาเอง เทียบราคาหุ้นปัจจุบัน แล้วบอกว่าหุ้นถูก..
ส่วนกราฟเทคนิค รู้แค่เบสิค ผมว่าก็เพียงพอแล้วครับ.. อ่านเยอะๆ ศึกษาเยอะๆ ฟังเยอะๆ เชื่อน้อยๆ และตัดสินใจเอง อย่าคิดว่าตนเองโง่ และสู้ชาวบ้านไม่ได้ ทุกคนมีพลังในตัวเองหมด อยู่ที่จะดึงพลังออกมาได้มากน้อยแค่ไหน..
เป็นกำลังใจให้ทุกๆ คนครับ สู้ๆ ครับ..
ที่มา: https://www.facebook.com/punhoonthai
- SET หล่นจากจุดสูงสุด 886.57 ลงมาต่ำสุดที่ 380.05 จุด หรือลบกว่า 57% ในระยะเวลา 28 สัปดาห์ หรือกว่าครึ่งปีที่หุ้นตกจนชิน.. แต่กว่าทุกคนจะรู้ว่าเกิดวิกฤติ ก็ตอนช่วงเดือน กย 2009 (ธนาคารเลแมน บราเดอร์ส ประกาศล้มละลาย) ช่วงนั้น SET อยู่ที่ประมาณ 660 จุด ก็คือหล่นมาแล้วประมาณ 25%
น้ำท่วม + กรีซ - SET หล่นจากจุดสูงสุด 1,148.28 ลงมาต่ำสุดที่ 843.69 จุด หรือลบประมาณ 26.5% ซึ่งดูแล้วเบามากๆ เมื่อเทียบกับวิกฤติ Subprime เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นทั่วโลกพอดี ซึ่งวิกฤตินี้ หุ้นส่วนใหญ่ฟื้นกลับ และทำนิวไฮไปอีกไกล แต่หุ้นบางตัวก็ยังไม่ฟื้นจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบัน ครึ่งปีหลัง 2013 (นับจากปลายเดือนพค. 2013 ถึงสิ้นเดือนสค. 2013)
- SET หล่นจากจุดสูงสุด 1,649.77 ลงมาต่ำสุดที่ 1,260.08 จุด (ต่ำสุดรึยัง ยังไม่รู้) หรือปรับตัวลดลงกว่า 23% ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน.. ซึ่งจุดนี้ ทุกคนเริ่มกลัว เริ่มกล้า อารมณ์แปรปรวนกันรายวัน เนื่องจากช่วง 3 เดือนนี้ หุ้นตกเร็ว และแรงที่สุด นับตั้งแต่หลังวิกฤติน้ำท่วมมา จะหล่นไปสุดเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ ทุกคนเริ่มหาเหตุผลสนับสนุนความคิดของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นงบการเงิน หรือประเด็นเงิน 2.2ล้านล้านบาท แต่ก็มีไปพะวงกับเหตุการภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นซีเรีย อียิปต์ หรือการลดขนาดคิวอี
ที่ผมยกตัวอย่างกราฟ SET index มาให้ดู คือให้ดูระดับ Week ซึ่งไม่ค่อยจะพลาดนัก จะเห็นว่า ภาวะหุ้นตก มันมักจะตกมาชนแนวรับใหญ่เสมอ.. ใครถือเงินสด ถ้าทนได้ ทนรอแนวรับแถวๆ 1,150 +/- ถึงตรงนั้นค่อยว่ากันอีกที.. แต่ถ้าทนไม่ได้ คันมือ หรือหุ้นเต็มพอร์ท กลัวเด้งก่อน ก็ซื้อไปเถอะครับ.. เงินของท่าน ท่านควรตัดสินใจเอง..
ภาวะขาลง คนติดดอย มักจะอยากได้เงินคืน พอถึงจุดนึง มักจะขายหุ้นทิ้งโดยมีเหตุผลคำเดียว คือ.. "ช่างแม่ง.." ถ้ารอได้ รอ "ช่างแม่ง.." เต็มตลาด จุดนั้นจะน่าซื้อที่สุด และกราฟจะเน่าที่สุด มาพร้อมกับข่าวร้ายสุดๆ ครับ..
แต่ว่า ในภาวะอย่างนี้ หุ้นหลายๆ ตัวกลับไม่ได้ปรับตัวหล่นตามดัชนีตลาดก็มี หรือถ้าหล่น ก็จะหล่นน้อยมากๆ ถ้าเทียบกับทั้งตลาด หุ้นพวกนี้จะน่าซื้อมากๆ เพราะเวลาขึ้น มันมักจะขึ้นก่อน ขึ้นเร็ว และขึ้นแรงที่สุด..
ช่วงนี้ ใครว่าง ก็ศึกษาหาหุ้น ดูให้ละเอียด ไม่ใช่แค่เปิดกราฟนั่งหาวไปวันๆ แล้วบอกว่า "กูดูดีแล้ว" ผมว่าควรหาความรู้เติมใส่สมองน่าจะดีกว่า.. พื้นฐาน งบการเงิน และการวิเคราะห์แนวโน้มของธุรกิจว่าจะโตได้อย่างไร สำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่ดูงบไตรมาสเดียว เอามาคูณสี่ คูณค่า P/E ที่มั่วๆ ขึ้นมาเอง เทียบราคาหุ้นปัจจุบัน แล้วบอกว่าหุ้นถูก..
ส่วนกราฟเทคนิค รู้แค่เบสิค ผมว่าก็เพียงพอแล้วครับ.. อ่านเยอะๆ ศึกษาเยอะๆ ฟังเยอะๆ เชื่อน้อยๆ และตัดสินใจเอง อย่าคิดว่าตนเองโง่ และสู้ชาวบ้านไม่ได้ ทุกคนมีพลังในตัวเองหมด อยู่ที่จะดึงพลังออกมาได้มากน้อยแค่ไหน..
เป็นกำลังใจให้ทุกๆ คนครับ สู้ๆ ครับ..
ที่มา: https://www.facebook.com/punhoonthai
No comments:
Post a Comment